บทที่ 8





การสร้างรายงาน



ความหมายและชนิดของรายงาน




การเขียนรายงานการค้นคว้า เป็นการนำเสนอข้อมูลความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ แล้วนำมาเรียบเรียงโดยมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน เช่น รายงาน รายงานวิชาการ เป็นต้น

ความหมายและประเภทของรายงานการค้นคว้า
รายงาน ( report) เป็นเอกสารทางวิชาการที่ได้รวบรวมและเรียบเรียงขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อใช้เสริมความรู้และทักษะในรายวิชาที่กำลังศึกษาอยู่

รายงานวิชาการ ( report) หมายถึง รายงานการค้นคว้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาใดวิชาหนึ่ง (ในรายวิชาหนึ่งอาจมีรายงานวิชาการได้หลายเรื่อง )รายงาน และรายงานวิชาการ คืองานเขียนที่เรียบเรียงขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่กำหนด เพื่อเสนอต่อผู้สอน โดยถือว่างานนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอนของวิชานั้นๆ ผู้เขียนต้องวางรูปแบบรายงานให้เป็นไปตามแบบแผนที่สถานศึกษานั้นๆ กำหนดไว้

ขั้นตอนการจัดทำรายงานการค้นคว้า
การเลือกเรื่องหรือหัวข้อ
การค้นคว้าและรวบรวมแหล่งค้นคว้า
การวางโครงเรื่อง
การอ่านและจดบันทึกข้อมูล
การเรียบเรียงเนื้อเรื่อง
การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง
การเขียนส่วนประกอบอื่นๆ ( ปกนอก หน้าปกใน คำนำ สารบัญ )



การเลือกเรื่องหรือการกำหนดหัวข้อเลือกเรื่องที่ชอบหรือสนใจการได้ทำในสิ่งที่ชอบหรือสนใจจะช่วยให้ทำงานด้วยความสุข รู้สึกสนุกเพลิดเพลินในขณะที่ทำการศึกษาค้นคว้า ได้รับความรู้ในสิ่งที่สนใจอยู่แล้ว เกิดความกระตือรือร้นและทุ่มเทความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ท้อแท้หรือเบื่อหน่ายกับการต้องทำงานหนัก ต้องแก้ปัญหาอุปสรรคที่อาจมีเป็นของธรรมดา การเลือกเรื่องที่สนใจจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จและประสิทธิภาพของงาน เช่น นักเรียนที่ชอบเล่นดนตรี ก็อาจค้นคว้าทำรายงานเรื่องเกี่ยวกับดนตรี ผู้ที่สนใจติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาจเลือกทำเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี เป็นต้นเลือกเรื่องที่มีพื้นความรู้อยู่พอสมควรการที่ผู้ทำรายงานมีพื้นความรู้อยู่บ้างจะช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลามากนักในการค้นหาข้อมูลพื้นฐาน ทั้งยังทำให้มองเห็นแนวทางในการในการกำหนดขอบเขตทิศทางและเค้าโครงของเรื่องและของการศึกษาค้นคว้าได้อย่างเหมาะสมและชัดเจน ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเรื่องหรือหัวข้อที่เกี่ยวกับรายวิชาที่กำลังศึกษาอยู่ นักเรียนมักจะมีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้ว เช่น นักเรียนสายชีววิทยา อาจมีพื้นความรู้ที่จะช่วยให้เหมาะสมที่จะทำรายงานเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ขั้วโลก เป็นต้นเลือกแหล่งที่มีข้อมูลเพียงพอการศึกษาค้นคว้าที่ดีต้องมีแหล่งข้อมูลหลากหลายและทันสมัย ดังนั้นเมื่อสนใจหัวข้อใดจึงควรสำรวจแหล่งค้นคว้าให้แน่ใจว่ามีเพียงพอ เหมาะสมกับหัวข้อและวัตถุประสงค์ของการทำรายงาน ถ้าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่น่าสนใจแต่ไม่สามารถหาแหล่งข้อมูลได้อย่างเพียงพอก็ยากที่จะทำให้สำเร็จ เช่น นักเรียนสนใจจะทำรายงานเรื่องพืชพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ แต่ยังไม่มีข้อมูลให้ค้นมากเพียงพอ ก็ไม่สามารถเลือกเรื่องดังกล่าวได้เลือกเรื่องที่มีประโยชน์เรื่องที่เมื่อศึกษาค้นคว้าแล้วมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ทั้งแก่ตัวผู้ค้นคว้าเองและแก่ผู้อื่น เช่นทำให้เกิดความรู้ ความคิด ประสบการณ์ เกิดทักษะใหม่ๆ หรือค้นพบสิ่งใหม่ หรือนำผลรายงานไปใช้แก้ปัญหา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ควรเลือกทำเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว เป็นการเสียเวลาเปล่าโดยไม่ได้รับความรู้หรือประโยชน์ใดๆ เพิ่มขึ้นมาตัวอย่างเช่น เมื่อผู้สอนมอบหมายให้ทำรายงาน นักเรียนเลือกทำเรื่องเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงโคเนื้อ เพราะที่บ้านบิดามารดามีอาชีพเลี้ยงโคเนื้อ หรือการศึกษาเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจของสังคม เป็นหัวข้อที่น่าสนใจหยิบยกมาศึกษาค้นคว้าทำรายงาน เช่นเรื่องของคลื่นสึนามิ เรื่องแผ่นดินไหว เรื่องก๊าซโซฮอล์หรือพลังงานประเภทต่างๆ เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้นเลือกเรื่องที่มีขอบเขตเหมาะสมสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ควรกำหนดขอบเขตของเรื่องให้เหมาะพอดี ไม่กว้างหรือแคบเกินไป เรื่องที่มีขอบเขตกว้างเกินไปจะไม่สามารถเจาะลึกในรายละเอียดเท่าที่ควร จะเป็นเรื่องที่มีข้อมูลผิวเผินพื้นฐานเท่านั้น ทำให้เสียเวลานานแต่ขาดรายละเอียดในประเด็นที่ควรเน้น ทำให้ผลงานไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ส่วนหัวข้อที่แคบเกินไป จะมีปัญหาเรื่องการค้นหาข้อมูลที่มีแหล่งข้อมูลจำกัด และในด้านคุณภาพและปริมาณของงานก็อาจจะไม่เหมาะสมเพียงพอ ดังนั้นการเลือกเรื่องหรือหัวข้อรายงานจึงต้องคำนึงถึงขอบเขตของเนื้อเรื่องให้เหมาะสมพอดี

ปัจจัยสำคัญในการกำหนดขอบเขตของเรื่อง
การกำหนดขอบเขตของเรื่องมีความสำคัญมาก รายงานที่ดีต้องมีขอบเขตของเรื่องที่เหมาะสม ไม่กว้างเกินไปหรือแคบเกินไป ปัจจัยที่ควรคำนึงในการกำหนดขอบเขตของเรื่องมีดังต่อไปนี้
ความยาวของเรื่อง ควรมีความยาวเพียงพอที่จะเสนอข้อมูลได้ครบถ้วน รายงานที่มีเนื้อเรื่องยาวย่อมกำหนดขอบเขตได้กว้างกว่าเรื่องสั้นๆเวลา งานที่มีเวลาทำมากย่อมมีขอบเขตและความลุ่มลึกมากกว่างานที่ใช้เวลาสั้นๆแหล่งข้อมูล เช่น ห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือในเมืองใหญ่ๆ จะมีความสะดวกในการเข้าถึงฐานข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต

การกำหนดขอบเขตในการตั้งชื่อเรื่อง

เมื่อตัดสินใจเลือกเรื่องหรือหัวข้อได้แล้ว ต้องมีการตั้งชื่อเรื่อง สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ชื่อเรื่องควรจะแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของเรื่องด้วย ไม่ควรกว้างหรือแคบเกินไป เช่น นักเรียนสนใจเรื่อง“ปัญหาเศรษฐกิจ”จะตั้งชื่อเรื่องว่าปัญหาเศรษฐกิจ ไม่สมควรอย่ายิ่ง เพราะชื่อนี้คลุมขอบเขตกว้าง นักเรียนต้องจำกัดให้แคบเข้า ให้เหมาะสมกับเวลาในการจัดทำและวัตถุประสงค์ของการทำรายงานการค้นคว้า

วิธีการกำหนดหัวข้อ มีวิธีดังนี้
1. วิธีการจำกัดขอบเขตให้แคบลง ทำได้หลายวิธีดังนี้

1.1 การจำกัดขอบเขตโดยหัวข้อย่อยหรือประเด็นสำคัญ ตัวอย่างเช่น

จากหัวข้อ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบลงโดยเลือกเฉพาะบางประเด็น ในชื่อ“การปั่นหุ้น”

1.2 การจำกัดขอบเขตโดยกำหนดกลุ่มของบุคคล ตัวอย่างเช่นจากหัวข้อ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบลงในชื่อ “ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรไทย”

1.3 การจำกัดขอบเขตโดยใช้สถานที่และสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ

“ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบในชื่อ “ปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบรองราษฎรในภาคใต้”

1.4 การจำกัดขอบเขตโดยใช้เวลาหรือยุคสมัยเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ

“ปัญหาเศรษฐกิจ” จำกัดให้แคบในชื่อ “แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในยุครัฐบาลปัจจุบัน”

2. วิธีการขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น ทำได้หลายวิธีดังนี้

2.1 การขยายขอบเขตโดยขยายประเด็นสำคัญ ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ “ การพิมพ์ธนบัตรไทย”
ขยายเป็น “วงจรของธนบัตรไทย”

2.2 การขยายขอบเขตโดยกำหนดกลุ่มบุคคล ตัวอย่างเช่น จากหัวข้อ “ปัญหาเด็กเขมรเข้ามาขอทาน” ขยายเป็น “ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย”

2.3 การขยายขอบเขตโดยใช้สถานที่และสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น

จากหัวข้อ “น้ำตกทีลอซู” ขยายขอบเขตเป็น “น้ำตกในอุทยานแห่งชาติทางภาคเหนือ”

2.4 การขยายขอบเขตโดยการใช้เวลาหรือยุคสมัยเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น

จากหัวข้อ “ การประกวดเพลงกล่อมลูก” ขยายเป็น “วิวัฒนาการของเพลงกล่อมลูก”

การรวบรวมแหล่งสารสนเทศ

การเลือกเรื่องทำรายงาน ต้องเป็นเรื่องที่มีแหล่งข้อมูลหรือแหล่งสารสนเทศอย่างเพียงพอ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำทั้งในขณะที่พิจารณาตัดสินใจเลือกเรื่องและหลังจากเลือกเรื่องแล้ว คือ การสำรวจว่ามีแหล่งข้อมูลเรื่องที่ต้องการอยู่ที่ไหนบ้าง มีวิธีการเข้าถึงได้อย่างไร รู้จักวิธีใช้เครื่องมือช่วยค้นประเภทต่างๆ เพื่อให้สามารถค้นคว้ารวบรวมข้อมูลที่ต้องการได้ครบถ้วน หลากหลายและทันสมัย

การวางโครงเรื่อง

การวางโครงเรื่องกับการรวบรวมแหล่งสารสนเทศมักจะดำเนินไปพร้อมๆกัน เพราะหัวข้อต่างๆ ที่จะนำมาจัดเรียงเข้าไว้ในเรื่องจะได้มาจากการศึกษาข้อมูลจากแหล่งสารสนเทศอย่างคร่าวๆ เมื่อวางโครงเรื่องเบื้องต้นไว้แล้ว ในระหว่างการค้นคว้า อ่าน และบันทึกข้อมูล อาจได้แนวคิดหรือแนวทางที่ชัดเจนขึ้น นำมาปรับเปลี่ยนโครงเรื่อง ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลา เพื่อความเหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุดของโครงเรื่อง การวางโครงเรื่องที่ดีมีความสำคัญมาก เพราะใช้เป็นกรอบหรือแนวทางในการเขียนการค้นคว้า

การอ่านและจดบันทึกข้อมูล

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลามากที่สุด โดยผู้ทำรายงานต้องลงมืออ่านเอกสารหรือแหล่งสารสนเทศที่รวบรวมไว้ คัดเลือกข้อมูลที่ตรงตามความต้องการ แล้วจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้อย่างมีระบบ รวบรวมให้ครบถ้วนทุกหัวข้อตามที่วางไว้ในโครงเรื่อง เพื่อใช้ในการเรียบเรียงเนื้อเรื่องต่อไป

การเรียบเรียงเนื้อเรื่อง

ในการเขียนหรือเรียบเรียงเนื้อเรื่องรายงานการค้นคว้า ผู้ทำรายงานจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ จัดลำดับ จัดประมวลแนวคิด จากข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้ แล้วนำมาเรียบเรียงด้วยสำนวนภาษาและแนวคิดของตนเอง ประกอบกับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทั้งหลาย ในการเขียนต้องใช้ภาษาอย่างเหมาะสม ใช้รูปแบบที่ถูกต้องเพื่อให้ผลงานออกมาน่าอ่านและมีคุณค่าในขณะที่เขียนเนื้อเรื่องต้องมีการอ้างอิงแหล่งสารสนเทศตามความเหมาะสม ทั้งนี้เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ได้จาการศึกษาค้นคว้า เมื่อนำมาเรียบเรียงไว้ในรายงาน ต้องมีการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาอย่างถูกต้องตามแบบแผน เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของมูล เพื่อเป็นหลักฐานแสดงความน่าเชื่อถือ และช่วยให้ผู้สนใจสามารถติดตามศึกษาค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเติมจากแหล่งที่อ้างอิงได้อย่างสะดวก การเขียนอ้างอิงมีกฎเกณฑ์และรูปแบบที่ต้องศึกษาเพื่อให้เขียนได้ถูกต้อง เช่นเดียวกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ตารางและภาพประกอบ เป็นต้นในขั้นตอนนี้ สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การตรวจทานแก้ไขต้นฉบับรายงาน เพื่อหาข้อผิดพลาดแล้วปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เรียบร้อย การตรวจทานต้องทำอย่างประณีตละเอียดลออ เพื่อให้ได้ผลงานที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด

การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง

รายชื่อเอกสารหรือแหล่งสารสนเทศทุกรายการที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้าและอ้างอิงในเนื้อเรื่องจะต้องนำมาเขียนเรียบเรียงตามลำดับอักษร ในรูปแบบที่ถูกต้องตามหลักสากล รวมไว้ส่วนท้ายของรายงาน เรียกว่า บรรณานุกรมหรือรายการเอกสารอ้างอิง ซึ่งมีรูปแบบกฎเกณฑ์ในการเขียนที่ผู้ทำรายงานจะต้องศึกษา

การเขียนส่วนประกอบอื่น ๆ

ขั้นตอนสุดท้ายของการทำรายงานการค้นคว้า คือการเขียนส่วนประกอบอื่นๆ นอกเหนือจากส่วนที่เขียนมาแล้ว ได้แก่ ส่วนประกอบตอนต้น อันประกอบด้วย ปกนอก หน้าปกใน คำนำ สารบัญ และส่วนประกอบตอนท้าย นอกเหนือจากบรรณานุกรม เช่น ภาคผนวก จากนั้นก็จัดพิมพ์ ตรวจทานแก้ไข แล้วเย็บเล่มเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์


มุมมองของรายงาน






คุณสามารถสร้างมุมมองรายงาน ที่ใช้ ข้อกำหนดรายงานเดียวกันกับรายงานต้นทาง แต่มีคุณสมบัติ ที่ต่างกันเช่นค่าพร้อมต์ , กำหนดเวลา, วิธีการจัดส่ง, อ็อพชัน การรัน, ภาษา และรูปแบบเอาต์พุตการสร้าง มุมมองรายงานไม่ได้เปลี่ยนแปลงรายงานต้นฉบับ คุณสามารถกำหนด รายงานต้นทางสำหรับมุมมองรายงานโดยการดูคุณสมบัติของรายงาน คุณสมบัติ ของมุมมองรายงานยังให้ลิงก์ไปยังคุณสมบัติของ รายงานต้นทางหากรายงานต้นทางถูกย้ายไปยังตำแหน่งอื่น ลิงก์ของมุมมองรายงานจะไม่เสียหาย หากรายงานต้นทางถูกลบ ไอคอนมุมมองรายงานจะเปลี่ยนไประบุลิงก์ที่เสียหาย  และ คุณสมบัติจะลิงก์ไปยังรายงานต้นทางที่ถูกลบออกหากคุณต้องการใช้รายงานทั่วไปเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ รายงานเพิ่มเติม ให้คัดลอกสำเนาของรายงาน การคัดลอกรายการ หากคุณต้องการให้รายงาน ปรากฏมากกว่าหนึ่งตำแหน่ง ให้สร้างช็อตคัตการสร้างช็อตคัตก่อนเริ่มต้นภารกิจในการสร้างมุมมองรายงาน คุณต้องมีสิทธิการเรียกใช้ หรือสิทธิการอ่าน สำหรับรายงานต้นฉบับกระบวนการใน IBM® Cognos Connection ค้นหารายงานที่คุณต้องการ ใช้เพื่อสร้างมุมมองรายงานภายใต้Actions คลิกปุ่ม มุมมองรายงาน  ที่อยู่ถัดจากรายงานในช่อง Name พิมพ์ชื่อของ รายการหากคุณต้องการ ในช่อง Description และ ช่อง Screen tip ให้พิมพ์รายละเอียดของ รายการรายละเอียดจะปรากฏในพอร์ทัลเมื่อ คุณตั้งค่าการกำหนดค่าตามความชอบเพื่อใช้มุมมองรายละเอียด การปรับแต่งพอร์ทัล คำแนะนำ หน้าจอ ซึ่งจำกัดจำนวนอักขระ 100 ตัวจะปรากฏเมื่อคุณวาง ตัวชี้เมาส์ของคุณเหนือไอคอนสำหรับรายการในพอร์ทัล
หากคุณไม่ต้องการใช้โฟลเดอร์เป้าหมายทีแสดงภายใต้ Location, ให้คลิก Select another location และเลือก โฟลเดอร์เป้าหมาย และคลิก OKคลิก เสร็จสิ้น


การเพิ่มหมายเลขหน้าและวันที่




เลือกแทรก >หมายเลขหน้า ออก






เลือกตำแหน่งที่ตั้ง เช่นด้านบนของหน้า หรือด้านล่างของหน้า จากนั้น เลือกสไตล์ในแกลเลอรี Word หมายเลขทุกหน้าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณทำเสร็จแล้ว เลือกปิดหัวกระดาษและท้ายกระดาษ หรือดับเบิลคลิกที่ใดก็ได้นอกบริเวณหัวกระดาษและท้ายกระดาษ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น